อินไซท์

จานีน ยโสวันต์

July 2013

I.

วันก่อนนั้นฝนตกพรำ ลมพายุพัดแรงจัดอยู่ตลอดเวลา ถนนสายนั้นทอดขนานกับ
เทือกเขาบูโดอันยาวเหยียดเป็นแนวตรงอย่างจงใจสร้างขึ้น เป็นถนนสายเรียบตรง
สายหนึ่งของประเทศไทย เทือกเขาบูโดนั้นก็มิได้สูงชันหรือน่ากลัวแต่ประการใด
เป็นเทือกเขาที่ยาวเหยียดเชื่อมระหว่างปัตตานี ยะลา นราธิวาส

บูโด…ภูเขาที่อยู่ของผู้ที่ต้องการจะแบ่งแยกติดแดนภาคใต้ เป็นที่สิงสถิตของผู้
คนที่ได้ชื่อว่าโจรแบ่งแยกดินแดนมาหลายยุคหลายสมัย ประวัติศาสตร์แห่งการ
ต่อสู้ยังไม่ถูกบันทึกขึ้นไว้ เพราะไม่มีใครเล่าความจริงได้ดีไปกว่าประชาชนทั่วไป
 ความจริงที่หลงเหลือมีไม่มากไปกว่าตำนาน เล่ากันไปก็เล่ากันมา มีการระบายสี
สวยสดมาตลอด และบางทีก็ถูกป้ายด้วยสีดำ

สายบุรี ที่นั้นฝนตกเสมอเพราะอยู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก
คลื่นทะเลลูกใหญ่ไหวละลิ่วด้วยแรงพายุจัด เวลามีคลื่นลม
เรือหาปลาน้อยใหญ่มิได้หวาดกลัวอันตรายใดๆ
ๆ เพราะนั้นเป็นสัญญาณว่าจะได้ปลามากกว่าปกติ ชาวเรือไม่เคยกลัวพายุฝนเลย
ทุกคนต่อสู้สายฝนที่กระหน่ำลงมายืนหยัดด้วยขาอันกล้าแกร่งบนพื้นไม้ของเรือ
และปรับตัวตามการโคลงของเรือ และแรงซัดสาดของพายุ
เรือลำน้อยใหญ่เล่นสวนกันไปมาอย่างมีความหวัง น้ำทะเลอุ่นๆ
ที่ปะทะกับชีวิตหลายชีวิต และน้ำฝนอันเย็นเยียบร่วงหล่นลงมาซ้ำ

แวอาแซ ออกทะเลพร้อมกับเพื่อนหลายครั้ง อีกไม่นานนักเขาจะเป็นเจ้าของเรือ
กอและลำน้อยเขาได้ขายทับทิมเม็ดงามไปแล้ว ทับทิมที่ภาษาถิ่นเรียกว่ายาลีมอ
ซึ่งตกเป็นของเขา ประดับในเรือนทองโบราณสลักเสลาเป็นรูปกริช

ทับทิมสีแดงมีรุ้งแวววาวนี้ เขาได้นำไปที่บ้านของดะโต๊ะยุติธรรมที่มีชื่อเสียงใน
เรื่องการค้าของเก่า ท่านเคยขาย โอ่ง ไห กริช หรือจานชามสมัยเก่า ๆ ให้แก่
เพื่อนต่างถิ่นที่มีเงิน แวอาแซเองก็เคยนำโอ่งใบย่อมที่มีลวดลายสิงห์ไปฝากขายที่
บ้านท่าน ยามที่เขาขาดเงินทุกอย่างขายได้ทั้งนั้น ไม่ว่าพานทองเหลือง หรือ
ขวานโบราณเล่มเล็ก ๆ

แล้วแวอาแซ ก็ตัดสินใจขายยาลีมอ ทับทิมที่สวยวาววับเหมือนดวงตาของสาวรุ่น
เหมือนหยดเลือดใส ๆ ที่หยดลงและแข็งตัวเป็นทับทิมขนาดสองกะรัตครึ่ง
ดะโต๊ะมาหาเขาที่บ้านในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังต้อนเป็ดเข้าเล้า และบอกว่า
ทับทิมเม็ดนั้นท่านขอซื้อต่อในราคาห้าหมื่นบาท

ฉับพลันนั้น เขาคิดถึงเรือกอและลำที่สง่างามที่สุดในท้องทะเล…

หลังจากนั้นไม่กี่วันเขากับเพื่อนก็ได้มาที่อำเภอปานาเระ เพื่อพบกับคนต่อเรือ
เพราะเขาทราบว่าเรือลำที่งามสง่าที่ความคิดฝันที่มีอยู่จะต้องทำขึ้นที่นี่ และราคา
พอจะคุยกันได้

วันนั้นเขามองทะเลด้วยความฝันความหวังอันอิ่มเอม บนศาลา รกร้างมีชื่อ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ติดอยู่ มองลงไปเป็นชายหาดยาวเหยียด น้ำทะเลสี
จัดจ้าน ยามที่ดวงอาทิตย์แผดเปรี้ยง และคลื่นซัดโถมตลิ่งตีฟองงดงาม
ลูกแล้วลูกเล่า

ห้าหมื่นบาทเป็นราคาเรือกอและที่ยังไม่มีเครื่องยนต์ เป็นราคาที่ค่อนข้างแพง
สำหรับเขาในชีวิตที่ขาดแคลน… และหลายครั้งกลัวดินทางมาดูเรือได้มาจากการที่
เขานำนกหัวจุกซึ่งเป็นที่นิยมกันมากไปขายในตลาดนัด

ตาเฒ่ามะ สะนิง เป็นช่างต่อเรือที่มีชื่อของปานาเระ เขาเป็นคนแก่ เนื้อตัวเหี่ยวย่น
กร้านด้วยแดดและเป็นคนในท้องถิ่นนี้ มองดูแล้วไม่มีท่าทางวี่แวว ปรากฏว่าแกจะ
เป็นช่างต่อเรือที่มีชื่อได้ ท่าทางแกเหมือนชาวประมงจน ๆ ผิวกายกร้านด้วยแดด
และด้วยลม เหี่ยวย่นและดำคล้ำด้วยแดดเผา เรือนั้นที่ประกอบขึ้นด้วยไม้
ตะเคียนทองสี่เดือนที่ผ่านมานั้น จากการเลื่อยไม้แผ่นต่อแผ่นประกอบกัน แวอาแซ
ก็รู้สึกว่าเงินห้าหมื่นบาทยังน้อยไปกับการประกอบเรือที่งดงามลำนี้…

ตาเฒ่ามะ สะนิง ปูผ้าสวดละหมาดใต้ต้นมะพร้าว ก่อนที่จะกลับมาบอกเขาว่าทุก
อย่างเรียบร้อยแล้ว ในวันที่เขายกเครื่องเรือของญี่ปุ่นมาให้ในบ่ายวันหนึ่ง…

"ลงน้ำได้แล้ว"แกพูดเรียบ ๆ แวอาแซ สังเกตเห็นว่าดวงตาของแกมีแววภาคภูมิใจ
และมีรอยยิ้ม 

"เป็นเรือลำสวยที่สุดตั้งแต่เคยทำมา"แกพูดเร็วเป็นภาษายาวีพร้อมกับถอนใจ
อย่างโล่งอก

แวอาแซ จ่ายเงินงวดสุดท้ายและถามแกว่าเงินพอไหม ผู้เฒ่าโบกมือแล้วก็ไม่ได้
พูดอะไรอีกนอกจากพ่นควันบุหรี่เป็นทางยาว…

เดิมแวอาแซมาที่ปานาเระหลายต่อหลายครั้ง เขามีโอกาสหัดต่อเรือ ระบายสีเรือ
ด้วยลวดลายที่งดงาม หัดสลักเสลาแกะลายด้วยตนเอง และระบายสีน้ำมันซ้ำ

"จะตั้งชื่อให้…เอาไหม" ตาเฒ่ามะ สะนิงถาม
แวอาแซทำหน้าแปลกใจ "ชื่ออะไร..เรือหรือ"
"อาแซ…เรือต้องมีชื่อเรียกทุกครั้งนะ"
"เอาชื่ออะไรดีล่ะ…ลุง" เขาพูดเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง เขาไม่เคยคิดมาก่อน
ว่าเขาจะต้องให้ชื่อเรือนี้พิเศษแต่อย่างไร

เขามองไปยังหมู่บ้านอย่างคิดคำนึง ถ้าใช้ภาษาไทยก็คงจะต้องมีชื่อ สัญลักษณ์
แห่งความดีมีโชคชัย  หรือเป็นชื่อที่มีว่านาวาหรือสมุทร อันหมายถึงทะเลกว้าง

ตรงริมบ่อน้ำกลางบ้าลานมีหญิงสาวกำลังตักน้ำอาบ ผมของเธอยาวประไหล่ เธอนุ่ง
ผ้าถุงกระโจมอกผิวสีน้ำตาลแดง ผมของเธอเปียกน้ำขอดกันเป็นวง เธอเหลือบตา
มองเขานิดหนึ่ง แล้วปรายตามองไปทางอื่น…

แวอาแซ ลดสายตาลง แล้วก้มมองเท้าตัวเอง ยิ้มให้กับตนเองอย่างแปลกใจ เธอ
อาจจะเป็นลูกเมียของใครในหมู่บ้านนี้ก็ได้ ดูหน้าตาของเธอไม่ได้สดชื่นเหมือน
สาวแรกรุ่นเพราะแก้มของเธอดูซูบซีดอิดโรยมือที่ลูบไล้ไปตามร่างกายยามอาบน้ำ
ก็คล้ายเพียงเคลื่อนไหวพอให้ผ่าน ๆ ไปเท่านั้นเอง แต่ดวงตาเธอนี่ซิเหมือนมีด
แหลมที่กรีดลงบนหัวใจของเขา เป็นดวงตาที่ว่างเปล่าและไม่สนใจไยดีอะไรเลย

แวอาแซ มีความรู้สึกว่าโลหิตที่ปลายเท้าของเขาอุ่นขึ้นมาโดยฉับพลัน ในชีวิตวัย
หนุ่มของเขาไม่เคยยินดียินร้ายกับเรือนร่างของผู้หญิง ในยามที่เขาออกจาก
โรงเรียนสอนศาสนา หรือออกไปทำงานตามหมู่บ้าน เขาเคยมีเพื่อนหญิงหลายคน
และเคยทั้งหลงรักผู้หญิงบางคน และผู้หญิงบางคนก็เคยบอกรักเขาบ้างเหมือนกัน

ตาเฒ่ามะ  สะนิง ยื่นไม้พายรูปร่างเรียวเล็กให้เขา เรือถึงจะติดเครื่องยนต์ ก็ย่อมจะ
มีใบพายไว้ใช้ยามน้ำมันหมด หรือเครื่องยนต์เสีย

"อาแซ เรือลำนี้ชื่ออาวา สะนิง" แวอาแซยืนนิ่ง เขาตกตะลึกทั้งชื่อ และนามสกุล
ของเรือ

"ผู้หญิงคนนั้น..อาวา  สะนิง" ผู้หญิงที่ยืนอาบน้ำตรงบ่อกลางลานบ้าน เธอหิ้วถังน้ำขึ้น
เรือนไปแล้ว

"ลูกของลุงใช่ไหม"เฒ่ามะ สะนิง พยักหน้าน้อย ๆ ดวงตาอันไร้ความรู้สึกมองทอด
ออกไปในทะเลสีครามที่มีลูกคลื่นซ่านกระเซ็น

อาวา สะนิง สาวน้อยวัยยี่สิบผิวสีน้ำตาลเจือแดง ผมเป็นลอนคลื่นยาว ดวงตาคม
กริบของเธอดูว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย เรือนกายที่เอวคอดกิ่ว และตะโพกแคบ ๆ
ของเธอดูไม่มีความเด่นหรือสะดุดตาอะไรเลย

เธอแต่งตัวเสร็จแล้วขณะที่ตาเฒ่ามะ สะนิง พา แวอาแซ ขึ้นไปบนบ้าน เธอนุ่ง
โสร่งบาติคสีดำสลับลายสีน้ำตาล สวมเสื้อตัวสั้นเป็นผ้าไม้สีขาว เธอยิ้มให้เขา
เล็กน้อยขณะยื่นขันน้ำทองเหลืองให้และเดินหลบไปที่ครัว

"อาวา"ตาเฒ่ามะเรียก "แวอาแซ..เป็นลูกหลานดะโต๊ะที่สายบุรี"เป็นคำเอ่ยอ้าง
ความจริงถ้าเป็นอิสลาม ทุกคนเป็นญาติกันทั้งสิ้น แวอาแซไม่เคยคิดว่าเขาเป็น
ญาติกับใคร เพราะเขาเป็นรุ่นที่ต้องเก็บของเก่า ๆ ขายเพราปัญหาทางเศรษฐกิจ
เขาเพียงแต่คิดว่าเขาเป็นเพียงคนจน ๆ มุสลิมที่ยากจนคนหนึ่งเท่านั้น

เขาทรุดนั่งลงกับพื้นบ้าน"ลุงมีลูกสาวคนเดียว"เขาถามในขณะพ่นควันบุหรี่ยาว
"อาแซ..ถ้ามีเรือแล้วก็ไม่อดตาย" ตาเฒ่ามะพูด

"ผมยังไม่มีเงิน ค่าเรือลำนี้ผมก็ยังติดหนี้สินในเมืองอีก" แวอาแซ พูด เขากวาด
สายตาดูรอบ ๆ บ้านมีของใช้เฉพาะสิ่งจำเป็นในชีวิตเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดมีค่าราคา
แพงบนบ้านของตาเฒ่ามะ สะนิง

"ลูกของลุงมะยังไม่เคยแต่งงาน"เขาถามเรียบ ๆ "มีผัวแล้ว…มีลูกสาวเล็ก ๆ อีก
คน"

ความรู้สึกของเขาก็ไม่ได้ต่างจากหนุ่มมุสลิมทั่วไป คือไม่แปลกใจว่าผู้หญิงคนนั้น
เป็นสาวหรือไม่เป็น ถ้ารู้ว่าถ้าเธอไม่ได้เป็นสาวราคาสินสอดเธอก็จะแพงมากขึ้น
กว่าปกติ ยิ่งเธอมีลูกด้วย แต่เขาก็ไม่เห็นเด็กบนเรือนนี้

"ค่าทำเรือจะให้เป็นค่าแต่งงาน"เฒ่ามะ สะนิงจะต้องมีความหวังอะไรบางอย่าง
ในขณะที่แวอาแซปฏิเสธโดยกล่าวว่าเขาไม่มีเงิน แต่ก็โดนรุมเร้า เขาไม่แปลกใจ
ในขณะเฒ่ามะ สะนิงต้องการให้เขาแต่งงานกับลูกสาว ก็อาจจะออกปากให้เงิน
ทองได้ แวอาแซไม่ใช่คนใจดำอะไร แต่ในเมื่อเขาไม่มีเงินจริง ๆ และผู้หญิงก็
ไม่ใช่เรื่องที่เขาแปลกใจ แม่ของเขาก็เคยพูดเรื่องเขาน่าจะแต่งงานได้แล้ว จะเป็น
ใครก็ไม่เกี่ยง จะได้ตั้งหลักฐาน ตั้งครอบครัว มีลูกหลาย ๆ คนไว้ทำงาน 

"ให้ผมเอาเรือออกทะเลก่อนอีกสัก สองเดือนค่อยพูดกัน" หน้าตาของตาเฒ่าสลด
ไปเล็กน้อย แกก้มลงกินน้ำในขันที่ประคองมือยกขึ้นช้า ๆ แวอาแซเห็นรอยย่นที่
ใบหน้าและริ้วรอยตีนกา ดวงตาของแกช่างเหมือนกับลูกสาว ช่างไร้ความรู้สึกเสีย
จริง ๆ ช่างแห้งแล้งเสียจริง ๆ แล้วก็คิดถึงตัวเอง ถ้าเขาแก่ จะมีลักษณะแห้งเหี่ยว
อย่างนี้หรือไม่นะ

"ลุงคิดว่าอาวาจะมีความสุข"แกเอ่ยขึ้นอีก แวอาแซ รู้ว่าถึงอย่างไรแกก็เข้าข้าง
ตัวเองอยู่ดี
"อาวา..มันเรียนสูงนะ เรียนในมหาวิทยาลัย"
"อาวาเรียนอะไร" เขาก็เคยรู้เรื่องผู้หญิงเรียนสูง ๆ เช่นเดียวกัน
"เรียนกฎหมาย…จบกฎหมายด้วย" 
"แล้วทำไมไม่ทำงานในกรุงเทพฯ แวอาแซปรายตาดูผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง เขาเคย
มีความรู้สึกแปลกกับผู้หญิงเรียนสูง ๆ เขารู้สึกไม่ชอบเลย

เขามองดูดวงตาและแก้มของเธอ สะดุดใจเล็กน้อย ผู้หญิงผอมซีดเซียวคนนี้เรียน
จบกฎหมายเพื่อนของเขาบางคนมีการศึกษาสูง ๆ จบจากโรงเรียนปอเนาะ เข้า
เรียนในโรงเรียนสาธิตและเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยคณะต่าง ๆ เธอเป็นคนโชคดี
ได้เรียน แต่ผู้ชายชาวบ้านอย่างเขาเองเป็นได้แค่ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่แถว ๆ
หมู่บ้าน หาปลาบ้างออกเรือลากบ้าง พออยู่พอกินไปแต่ละวันเท่านั้น ลมหายใจ
อุ่นๆ ของเขาอยู่ในอก เสียงทะเลสาดซัดกับฝั่งเป็นจังหวะ จิตใจแวอาแซเริ่มว้าวุ่น
เขาไม่เคยเจออะไรที่เป็นปัญหาแบบนี้มาก่อน

"อาวา มาที่นี่หน่อย" ตาเฒ่ามะ สะนิงเรียก เธอกำลังทำอาหาร พลางวางมือเดิน
เบา ๆ มานั่งลง เงยหน้าสบตาเขาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

แวอาแซมองหน้าเธอเหมือนกำลังเดินดูของในตลาด พินิจพิเคราะห์ เขายิ้มให้เธอ
นิดหนึ่งเขาคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ผู้หญิงคนนี้มีร่องรอยว่าคงจะสวยมากคนหนึ่ง ถ้า
เธอแต่งเครื่องแบบนักศึกษา แต่ผู้หญิงตรงหน้าเขานี้คือผู้หญิงที่มีโฉมหน้า
ธรรมดา ๆ ที่เขามองด้วยความรู้สึกว่าเธอไม่มีจุดเด่นอะไรให้ดูเลย บางทีเธอคงไม่
ไว้ใจคนแปลกหน้า

"อาวา พ่อจะให้ลูกแต่งงานกับอาแซ" เธอเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจและกลับมา
มองจ้องหน้าแวอาแซอีกครั้ง แต่ก็ยังเงียบกริบ

"คุณไม่ปฏิเสธใช่ไหม"เขาถามอย่างสุภาพ

"ฉันมีลูกแล้วนะ"เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา เขาสังเกตหน้าเธอแดงเล็กน้อย เขา
รู้สึกว่าเธอสวยขึ้น

"พ่อ…เขายังไม่รู้จักฉันเลยนะ"

"ถ้าใครรู้จักลูกอาจจะไม่กล้าแต่งงานด้วยก็ได้"ตาเฒ่ามะ สะนิงพูดออกมาเช่นนั้นจริง ๆ

แวอาแซไม่ได้พูดอะไรอีก เขาจ้องหน้าสาวน้อยผู้ที่จะมาเป็นเจ้าสาวของเขา
ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาท่าทางเช่นนี้ ยิ่งรู้ว่าเธอ
เรียนจบกฎหมายก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าเหลือเชื่อจริง ๆ

แวอาแซกลับบ้านที่สายบุรีโดยเรือกอและลำใหม่ ตอนที่ยกเรือลงน้ำมีชาวประมง
ออกมาพร้อมเขาหลายลำ เขาไม่รู้สึกกลัวเพราะชายทะเลด้านนี้เขาชินต่อเส้นทาง
ดี ค่ำนั้นอาวาเก็บเสื้อผ้าลงเรือกับเขาเพราะมีโครงการจะไปแต่งงานกันที่สายบุรี
ชาวบ้านที่มาส่งเขาหลาย ๆ คนมองอาวาอย่างแปลกใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร แสงไฟ
จากเรือเหมือนเทียนจุดสว่างไสวทั่งท้องทะเล

เฒ่ามะ สะนิงบอกเพื่อนบ้านว่าอาวาจะไปแต่งงานที่สายบุรี เรือของแวอาแซวิ่งสู่
ทะเลกว้างพร้อมเจ้าสาวคนใหม่

..อาวา สาวน้อย ลอยเรือ เพื่อจะไปแต่งงานใหม่ ทะเลกว้างเท่าใด ดูจะไม่สนใจ
เลย สาวน้อย…

แวอาแซพูดบทกวีเป็นภาษายาวีกระเซ้าเย้าแหย่อาวา เมื่อเรือแล่นผ่านออกไปตาม
ลำพัง 

เขาตะโกนแข่งกับเสียงเรืออาวานั่งอยู่ตรงกลาง เธอกระชับผ้าโพกศีรษะ ดวงตามี
แววพราวขึ้นเหมือนเบิกบานใจ ทะเลยามค่ำนั้นมีแสงไฟจากเรือของแวอาแซ ลอย
ท่องลำน้ำและคลื่นลมไปด้วยความเร็วพอประมาณ ฟากฟ้าด้านโน้นมีดวงดวดวง
ใหญ่ส่องประกายเจิดเจ้า ลมทะเลพัดแรงเป็นจังหวะ มีแสดงสะท้อนจากทะเลและ
หาดทราย

ระยะทางไม่ไกลนักจากปานาเระ สู่สายบุรี เขาแกล้งดับเครื่องเรือกลางทะเล อาวา
ร้องกรีดและโผเข้าหาและเรือน้อย ๆ ก็ลอยคว้างอยู่แค่นั้น…

Pattani7-cr


II.

บ้านที่สายบุรี อยู่ไม่ไกลท่าน้ำนัก เป็นบ้านทรงเก่าแบบอิสลาม มีชานกลางบ้าน
กว้างประกอบด้วยเรือนหลายหลัง ฐานะของแวอาแซก็ไม่เลวจนเกินไปนัก อาวาไม่
ค่อยจะแน่ใจตัวเองว่าช่วงเวลาที่รู้จักกับแวอาแซสั้น ๆ นี้ เธอจะพยายามทำใจได้
แค่ไหน เพราะเขายังมีลักษณะเป็นคนแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา วัยของเขาก็ดูจะ
ไม่แตกต่างจากเธอนักรูปร่างเขาสูงใหญ่และแข็งแกร่งผิวสีน้ำตาลและหน้าตาคม
เข้มดูต่างจากชาวบ้านทั่ว ๆ ไป รอยยิ้มง่าย ๆ ของเขาเป็นรอยยิ้มของความเอื้ออารี
นี่กระมังที่พ่อยกเธอให้เขา น่าเสียใจเล็กน้อยที่เธอมิได้เป็นสาวพรหมจารี และ
ผู้ชายคนแรกก็ยังมิได้ปฏิเสธเธอ

ถ้าแวอาแซรู้ว่าเธอและเจ๊ะอุเซ็งยังไม่ได้เลิกกัน เขาเองคงไม่อาจเอื้อมจะทำอะไร
ลงไป ความผูกพันระหว่างอาวาและเจ๊ะอุเซ็งไม่มีทางเลิกร้างกันได้ และแวอาแซก็
จะอยู่ในตำแหน่งชายชู้…เธอหลับตาลงเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้น เธอแน่ใจ
ว่าเจ๊ะอุเซ็งจะไม่ยอมกลับสู่สภาพเดิมอีกแล้ว

หน้าของเจ๊ะอุเซ็งกลับมาอยู่ในความคิด เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง
ผมหยักศก

วันนั้นฝนตกพรำ ๆ รถโดยสารที่เข้าสู่ปานาเระมีคนนั่งเบียดกันจนเต็ม บางคนนั่ง
กับพื้นและห้อยโหน รถวิ่งบนถนนลูกรังแคบ ๆ บนตักอาวามีกระเป๋าใบเดียวที่เธอ
กอดแน่นทุกคนในรถท่าทางและสีหน้าบ่งบอกความไม่สบายใจ และลำบากใจกับ
ฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา รถวิ่งมาได้ครึ่งทางก็จอดพรืด เธอจำได้ว่าเธอ
และหญิงบนรถได้โดนผลักและถูกฉุดกระชากลงมา

มีเสียงตะโกนภาษาไทยและภาษายาวีว่าลงมาให้หมด ๆ เมื่ออาวาลงมาแล้ว เธอก็
พบว่ามีบางคนโดนตบด้วยคันท้ายปืนจนสลบ มีเสียงร้อยกรีดและร่ำไห้ เธอเอง
ตกใจแทบสิ้นสติ เป็นการปล้นรถดี ๆ นี่เองมีการแยกไทยพุทธและอิสลามออกจาก
กัน

"ไหน..ละหมาดให้ดูซิ"เป็นเสียงตะคอก เธอเห็นแล้วว่ามีโจรประมาณ 5 คนสวม
เสื้อสีเข้ม ทุกคนเนื้อตัวเปียกปอนด้วยสายฝน มีคำสั่งให้สวดเพื่อแยกกลุ่ม

อาวายืนเฉย ฉับพลันมีมือตบลงบนใบหน้าเธอฉาดใหญ่จนเซถลา

"สวดซี…สวด" บนรถนั้นมีคนสวดไม่ได้ 5-6 คน แต่ละคนโดยกระชาก กระเป๋า
เสื้อผ้าถูกค้น และยึดทรัพย์สินกระจุยกระจาย

"ทำไม…ไม่สวด" เสียงนั้นแข็งกร้าว และมือของผู้พูดกดไหล่เธอไว้ "พระเจ้าไม่ให้
ฉันสวดในกรณีเช่นนี้" เธอโต้ตอบฉับพลัน ภาษายาวีของเธอทำให้ทุกคนในที่นั้น
ชะงักงัน

มีมือคว้ากระชากเธอขึ้น"เอานังผู้หญิงสามหาวคนนี้กลับไปด้วย"เป็นเสียงสั่ง ทุก
อย่างเงียบไปแล้ว แต่เธอถูกฉุดกระชากจนเนื้อตัวซ้ำเขียวไปหมด อาวาเคยรู้เรื่อง
โจรปล้นมาบ้างเหมือนกัน แต่เมื่อมาเจอกับตัวเองจึงสุดที่จะบรรยายได้ โจรกลุ่มนี้
เป็นใครจึงทำกลับชาวบ้านได้โหดร้ายเช่นนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแสนจะทุเรศจริง ๆ
ชาวบ้านไม่มีอาวุธหรือมีอำนาจอะไร ไฉนเขาจึงทำได้ นี่ยังดีที่เธอไม่เป็นศพไปใน
ตอนนั้น จะได้อายเขาไปทั่วหน้าว่าโจรก่อการร้ายฆ่าผู้หญิง…และผู้หญิงคนนั้นเป็น
มุสลิม

เธอโดนฉุดกระชากเข้าไปในป่าเดินฝ่าฝนนานเท่าใดก็ไม่สามารถบอกได้ ร่างกาย
ปวดร้าวไปหมด อาวาโดนมัดแขนด้วยเชือก มีความรู้สึกตัวเองเหมือนสัตว์ที่กำลัง
ถูกนำไปฆ่า ชายทั้ง 5 คนก้าวร้าวดุดันพูดจากันฟังไม่ได้ศัพท์ไปตลอดทาง

เธอถูกขังไว้ในกระท่อมบนภูเขา มีผ้าแห้ง ๆ และอาหารอุ่น ๆ ส่งมาให้ เธอถูกมัด
ให้ก้มหน้าอยู่ที่พื้น

กระเป๋าเสื้อผ้าถูกโยนไว้อีกด้านหนึ่งของห้อง อาวาเหลือบดูนิดหนึ่ง ข้างในกระเป๋า
นอกจากจะมีเสื้อผ้า ยังมีปริญญาบัตรของเธอรูปถ่ายวันรับพระราชทานปริญญากับ
เพื่อน ๆ คงยับและแหลกเหมือนสภาพของเธอในตอนนี้

"ผู้หญิงคนนี้เป็นมุสลิม…แกเอาเขามาทำไม" มีเสียงพูดอย่างดุดันอยู่นอกห้อง
แล้วประตูก็เปิด มีคนก้าวพรวดพราดเข้ามา

อาวาเงยหน้าขึ้น ผู้ชายคนนั้นแก้มัดให้เธอและดึงร่างเธอให้ลุกขึ้น อาวานั่งนิ่งมอง
ไปข้างหน้า มีภาษาถิ่นถามเธอขึ้นมาเบา ๆ

"อาวา…จำเราได้ไหม" อาวาปรายตาขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว และเธอก็ลดสายตาลง
ผู้ชายผอม ๆ ตรงหน้าเธอนี้ ทำไมเธอจะจำไม่ได้ จากกันเพียงไม่กี่ปี รูปร่างหน้าตา
ของเขายังไม่เปลี่ยนแปลงเธอเคยเรียนโรงเรียนสาธิต
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ร่วมกับเขา เขาเป็นคนเรียนหนังสือขั้นดีมาก และได้
ทุนไปเรียนต่อทางศาสนาที่ไคโร"

"ไม่คิดว่าเธอจะชั่วช้า"เธอตวาดออกมา

"อาวา…เธอไม่เข้าใจ เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้

"ไม่…เธอจะไม่เข้าใจเป็นอันขาด ทุกอย่างที่ผ่านมา…เราเสียดาย"

เสียงร่ำไห้ของเธอบาดลึกลงไปในหัวใจ เจ๊ะอุเซ็งเดินทางไปเรียนศาสนาที่ไคโร มี
คำเล่าลือบอกเช่นนั้น แต่เวลาที่พบเขาอยู่บนขุนเขา นี่คือเขาบูโด เป็นที่ผู้คน
มองดูด้วยความสะพรึงกลัง เป็นป่าลึกและแนวเขายาวเหยียด ขนานกับทางรถยนต์
สู่จังหวัดนราธิวาส เธอพบเขาคราวนี้เหตุการณ์เปลี่ยนรูปแบบไป

เจ๊ะอุเซ็งผู้ชายผอมเกร็งคนนี้ เป็นนักรบแห่งขุนเขา สภาพจริง ๆ ของเขาคือโจร
แบ่งแยกดินแดน

"เธอเป็นหัวหน้าอยู่ที่นี่หรือ"อาวาถามเครียด

"ก็ทำนองนั้น"เจ๊ะอุเซ็งตอบเป็นภาษาไทย

"เราไม่เคยทราบ"เธอยิ้มเยาะ

"อาวา ทำไมเล่า…เธอรังเกียจเรา เพราะเราต่อสู้เพื่ออธิปไตยของรัฐ เช่นนั้นหรือ"
เจ๊ะอุเซ็งเลื่อนตัวมาใกล้

"รัฐอิสระ เจ๊ะอุเซ็ง นี่เธอเป็นตัวของตัวเองหรือเปล่า นี่เธอต่อสู้เพื่อการเจ็บไข้
ทุกข์ยากของประชาชนหรือเปล่า"

"แน่นอน"

"เราไม่เชื่อ เธอทำเพราะต้องการเป็นใหญ่และต้องการแก้แค้น"

"อาวา…ทำไมเธอพูดเช่นนั้น"

"พระเจ้าเป็นพยานด้วยเถิดนักเรียนต่างประเทศกลับมาเป็นนักรบของชาติ ของ
ประชาชนใคร ๆ ก็อยากเป็นใหญ่มิใช่รึ เจ๊ะอุเซ็ง"

เธอตวาดในขณะที่น้ำตาไหลพราก และหวั่นไหวด้วยความโกรธ เจ๊ะอุเซ็งยืนนิ่ง
อากาศรอบ ๆ ตัวนั้นเย็นเยียบ ข้างนอกดูมืดมิดน่ากลัว เสียงฝนตกบนภูเขา ที่พัก
ของเธอเป็นกระท่อมเตี้ย ๆ อยู่ในซอกเขาที่สะดอกต่อการโยกย้ายเทือกเขาบูโด
สภาพคล้าย ๆ กับป่าดงดิบ และเป็นเทือกเขาที่พาดขนานกับชายทะเล ทุกอย่าง
เงียบงัน

เมื่ออาวาหันหน้ากลับไป เจ๊ะอุเซ็งหายจากที่นั่นไปแล้ว

เป็นเช้าในฤดูแห่งพิธีรอมดอนอาวาตื่นขึ้นมาทำพิธีสวดละหมาดเสื้อผ้าที่ใช้ทำพิธี
สวดและผ้าคลุมหน้ายังอยู่เรียบร้อย เธอไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไร แต่ที่รู้ข้างนอกก็ยัง
มืดมาก และเนื้อตัวของเธอก็ยังฟกช้ำเธอได้ยินเสียงคุยจากที่พักถัด ๆ ไป

"กินข้าวเสียเถอะ…วันนี้เราต้องอดกันอีกตลอดวัน" เป็นเสียงของเจ๊ะอุเซ็ง เขาวาง
จานอาหารลงบนพื้นและเดินออกไป

อาวาหลับตาลง ถ้าเช้าวันนี้เป็นเช้าที่เธออยู่ที่บ้าน คงมีเสียงสวดจากลำโพงขยาย
เสียงดังลั่นไปทั่วหมู่บ้าน ดังเคยเป็นนิจศีลและมุสลิมทุกคนจะต้องสะอาดสะอ้าน
เตรียมพร้อมที่จะสวดมนต์เพื่อจะเผชิญหน้ากับวันใหม่อย่างมีความหวังและมี
ความสุข

เดือนนี้ทั้งเดือนแรมจนกระทั่งเดือนขึ้น จะเป็นเดือนแห่งศาสนาที่มุสลิมทุกคนต้อง
ถือศีลอด เพื่อรู้สึกถึงความรู้สึกผู้ยากไร้และหิวโหยว่ามีความรู้สึกอย่างไร และเป็น
เดือนแห่งการเตือนสติของตนเอง รู้จักตนเอง ตามคำสอนของศาสนา เป็นเดือนที่
อาวาต้องเร่ร่อนไปตามเทือกเขา และต่อสู้กับพายุฝน ทุกคนมีอาหารกินจำนวน
เล็กน้อย แต่ก็อยู่ได้ด้วยความอดทน อาวาเคยมีชีวิตต่อสู้ในกรุงเทพฯ หลายปี เธอ
ต้องโยกย้ายในการศึกษามานาน ตอนนี้เธอต้องเร่ร่อนหลบหนีเพื่อการต่อสู้ หลบ
การต่อสู้หลบการตามล่า หลบลูกปืนและต่อสู้เพื่อประชาชน

เจ๊ะอุเซ็งไม่ได้พูดอะไรกับเธอมากนัก และเธอก็ไม่มีเวลาที่จะวิสาสะกับเขา
นอกจากจะทำตามคำสั่ง พวกเขาวางกับดักเป็นระเบิดรายทางไว้ทั่ว เป็นระเบิดที่
ไม่มีความร้ายแรงมากนัก แต่ฤทธิ์ของมันก็ทำให้คนเจ็บได้

"ไว้สร้างสถานการณ์ เขาจะได้รู้ว่าที่นี่เป็นถิ่นของเรา"

"แล้วถ้าพวกเราเจอเองล่ะ"อาวาเถียง

"พวกเราไม่ทะเล่อทะล่าหรอก"เป็นคำตอบ

อาวามองตาเขาอย่างขัดเคือง

"ฉันรู้ว่าการต่อสู้จริง ๆ มิใช่เช่นนี้"

"ก็เธอจบกฎหมายมานี่"เจ๊ะอุเซ็งขัดขึ้น

"ก็แน่นอน กฎหมายของฉันพูดถึงสิทธิและหน้าที่ของประชาชน"

"อาวา…คนของเราถูกทำร้ายมานานเท่าใดแล้ว ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษใช่ไหม ชน
ชั้นของเรามีค่าบ้างไหมในสังคมนี้"

"ก็เพราะเรายังไม่มีการยกระดับทางการศึกษาเลย ทั้งที่เราใกล้ชิดศาสนาซึ่งสอน
ให้คนเผื่อแผ่แบ่งปันคนอดอยากยากจน แต่คนของเราพอได้ดีก็เหยียบย่ำชนชั้นต่ำ
ไว้อีกที ที่บ้านของฉันนะ เวลาที่เขามีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ผู้หญิง
มุสลิมแก่ ๆ ดวงตาแทบจะมองทางไม่เห็น จะเดินอย่างรวดเร็วเพื่อไปเลือกตั้ง ทุก
คนไปใช้สิทธิ์ของตนอย่างเต็มที่ เลือกคนกันเองที่รู้จักเขาเพียงแต่ชื่อเสียง รู้จัก
เขาเพราะพ่อของเขาถูกฆ่าตายด้วยการเมือง เลือกเขาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้วาเขาคือใคร
โดยที่ไม่เคยได้รู้ว่าเขามีบ้านอยู่เหมือนวัง เมียเขามีเครื่องเพชร ที่สามารถซื้อ
อาหารให้คนจนได้เป็นปี ๆ สามารถบินไปต่างประเทศได้ตลอดเวลาเมื่อเขามี
ความรู้สึกไม่ปลอดภัย เขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่ามีคนจน ๆ ในเมืองนี้ ซึ่งแทบไม่มี
อะไรจะกิน บ้านของเขาจะปิดเงียบเสมอเมื่อมีคนจน ๆ เดินผ่าน เขาไม่เคยบอกแก่
ประชาชนเลยว่าแป้งข้าวโพดที่เอาป้อนเด็กแรกเกิด ทำกันจนเป็นธรรมเนียม
ประเพณีนั้นไม่ได้มีคุณภาพหรือคุณค่า ประชากรของเราจึงเปรียบเหมือนกับคนที่
ขาดคุณภาพหรือคุณค่า ทุกคนกินแป้งข้าวโพดเป็นอาหารหลัก แล้วจะยกระดับ
สมองได้อย่างไร แต่ละครอบครัวก็มีลูกเป็นโขยง ๆ เจ๊ะอุเซ็ง เราทำไมไม่รณรงค์
แต่ในหมู่บ้าน ในครอบครัว ทำไมเราต้องต่อสู้ที่จะได้มาในสิ่งที่เหลือเชื่อเช่นการ
แบ่งแยกอำนาจรัฐ"

"อาวา…ทุกอย่างระบบมันทำให้เป็นไปเช่นนั้น ถ้าเราไม่แก้ไขส่วนใหญ่ ส่วนย่อย
เราจะทำอะไรได้"

"กำลังจะบอกว่าเป็นเรื่องของเชื้อชาติใช่ไหม อาวาถามต่อ

"ใช่"

"ตามหลักสังคมวิทยาอาจจะใช่ คนหมู่มาก" อาวาทำเสียงเยาะ "ประเทศอื่น ๆ ที่
เขารวมเชื่อชาติโดยไม่มีปัญหาล่ะ"

เจ๊ะอุเซ็งยืนเงียบเฉย

"รัฐอิสระ…ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเมืองเรามิได้กว้างใหญ่ มิได้มีทรัพยากร
ธรรมชาติอะไรที่น่าตื่นเต้นเช่นเหมืองเพชร หรือบ่อน้ำมัน หรือยูเรเนี่ยม คนกันเอง
ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง รัฐอิสระในความฝันของเธอน่ะ มันเป็นอย่างไร รัฐที่มีผู้ปกครอง
เป็นนักเรียนมาจากต่างประเทศ ใช่ อาจจะมีคนโชคดีเช่นเธอเพราะมีสมอง มีเงิน
ไปเรียนต่อไกล ๆ พูดไปก็เหมือนอยู่ในความฝัน ถ้ามีคนมายกภูเขา
บูโดให้ฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรดี"

"อาวา…ชีวิตในเมืองหลวงมันหล่อหลอมเธอได้เช่นนี้หรือ ผมไม่รู้ว่าคุณปฏิเสธ
ประชาชนได้อย่างไร"

"ปฏิเสธประชาชน คุณพูดว่า ฉันปฏิเสธประชาชน แล้วกฎหมายที่ฉันเรียนมาล่ะ
เธอคิดว่าไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม ฉันกลับมาต่อสู้เพื่อสตรีมุสลิม แน่นอน
ฉันคิดอยู่ และจะทำให้ได้ เจ๊ะอุเซ็ง ฉันได้รับเลือกเข้าอยู่ในโครงการแพทย์ชนบท
เป็นคนแรก ทุกคนว่าฉันโง่ที่ปฏิเสธและเลือกเรียนกฎหมาย คิดว่าโอกาสที่จะเลือก
เรียนกฎหมายคิดว่าโอกาสที่จะเลือกเรียนกฎหมายไม่ได้ง่ายสำหรับผู้หญิงมุสลิม
อย่างฉัน คนจน ๆ อย่างฉันคงเป็นหมอที่ช่วยเหลือใครได้ไม่มากนัก เพราะไม่มี
อะไรมากไปกว่าสมองที่ชาญฉลาดแต่ขาดปัจจัย และฉันหวังเหลือเกินว่าความรู้
ทางกฎหมายของฉันจะช่วยยกระดับคนในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและรับใช้
คนในท้องถิ่นได้ แต่ก็นั่นแหละ เจ๊ะอุเซ็ง ฉันไม่ได้คิดจะยกฐานะอะไรไปมากกว่า
ความเป็นอยู่ของประชาชนที่ยังล้าหลัง ความเป็นอยู่ของประชาชนที่ยังขาด
การศึกษา โดยเฉพาะผู้หญิงและมุสลิมและลูก"

"กฎหมายครอบครัว เป็นเรื่องของพระคัมภีร์นะ อาวา เธอจะปฏิเสธความจริงที่เรา
ยึดถือมาเป็นพัน ๆ ปีรึนี่"

"ฉันเป็นเพียงแต่ผู้เรียนกฎหมาย และก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรการต่อสู้ของเราควรเป็น
ระบบกว่านี้นะ ฉันไม่ต้องการวิธีแบ่งดินแดนหรือแย่งชิงประชาชน คุณเรียนศาสนา
มาก่อน แต่บางทีคุณคงไม่เข้าใจอะไร"

"ผมเรียนการปกครอง"

"อ้อ…รัฐศาสตร์…" อาวายิ้มเยาะ "คนอย่างคุณสังคงยังไม่ต้องการตอนนี้หรอก
สังคมของเรายังยากไร้และต่ำต้อยเกินไปที่จะรู้จักนักปฏิวัติของชาติของประชาชน
ถ้าคุณเป็นคนธรรมดา ๆ ประชาชนอาจจะต้องการมากกว่าที่เป็นอยู่นี่"

ตั้งแต่อาวาเคยพูดกับเจ๊ะอุเซ็ง นับเป็นบทสนทนายาวที่สุดที่เธอเคยทำ ไม่ใช่ว่า
เธอจะเกลียดเขาที่ทำให้เธอเจ็บช้ำที่สุด เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำงานใหญ่
เช่นนี้ตามลำพัง

หลังจากนั้นเธอก็พูดกับเขานับคำได้ ไม่นานนัก เจ๊ะอุเซ็งพาเธอลงมาจากเขาบูโด
มาที่บ้านปานาเระ ในวันที่ตะวันฉายฉาน ทะเลกว้างที่มีลูกคลื่นซัดสาดฝั่งตูมตาม
อยู่ตลอดเวลา

เขาบอกเฒ่า มะ  สะนิง ว่าขอแต่งงานกับอาวา ด้วยสาเหตุที่อาวาถูกฉุดขึ้นเขา
ก่อนฤดูบวชที่ผ่านมานั้น

งานแต่งงานของอาวาและเจ๊ะอุเซ็งจัดขึ้นในหมู่บ้าน เธอได้ของหมั้นเป็นเงิน
จำนวนหนึ่ง และเครื่องประดับเป็นชุดมรกตล้อมเพชรอยู่ในเรือนทอง ทั้งสร้อยคอ
สร้อยข้อมือ มรกตสีเม็ดแตงเป็นที่นิยมมากของคนอิสลาม วันนั้นเธอใส่ชุดแต่งงาน
สีทองมันระยับ แต่งหน้าทาปากสีเข้ม เธอดูงดงามและเฉิดฉายตลอดทั้งวัน
ชาวบ้านที่มาช่วยงานดูมีความชื่นชมยินดีกันทั่วหน้า ไม่มีใครสงสัยว่าเจ๊ะอุเซ็งเป็น
ใครมาจากไหน เพราะถ้ากล่าวถึง

บรรพบุรษของเขา ทุกคนจะต้องรู้จักดีอย่างไม่มีความระแวงสงสัยอะไร

อาวาบอกพ่อว่าเขาเป็นโจรแบ่งแยกดินแดน เฒ่ามะกลับนั่งฟังด้วยอาการเฉย ๆ
เหมือนกับว่าเธอได้บอกว่าเจ๊ะอุเซ็งเป็นนายอำเภอแห่งขุนเขาบูโด ทำนองนั้น

ญาติพี่น้องของเขาเป็นผู้ดี และมีมาดแห่งผู้ดีปรากฏอยู่ไปทั่ว ดูจะไม่ยินดียินร้าย
กับการแต่งงานทุคนดูสงบเยือกเย็น และไม่ปริปากพูดอะไรหรือทำอะไรให้แสลงหู
แสลงตา นอกจากสีสันฉูดฉาดของคนที่มาร่วมงาน บ้านริมทะเลของเธอเป็นบ้าน
แต่งงานเมื่อพิธีเสร็จ ผู้คนก็ไปเดินเที่ยวบนหาดทรายกว้าง

งานแต่งงานของเธอมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งมาเป็นเกียรติในงาน เขามี
ตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับ พูดภาษาไทยอิสลามคล่อง มีคนบอกเธอวาเป็นคน
นราธิวาส กล่าวคำอวยพรให้เธอและเจ๊ะอุเซ็งอย่างไม่ขัดเขิน ในขณะที่เขาไม่ใช่
มุสลิม

สิ่งที่อาวาแปลกใจ เขารู้จักเจ๊ะอุเซ็งดี ถึงขนาดกอดคอพูดจาด้วย เธอเองยังคิดว่า
ไม่น่าเป็นไปได้ท่าทางเขาสง่าและดูมีความรู้ดี และเขาก็ยินดีมากที่เธอจบ
กฎหมายมาจากสถาบันเก่าที่เขาเคยเป็นประธานเชียร์"

"น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอกันก่อน"เขาพูดยั่วเย้าในงานแต่งงาน

"แล้วจะทำงานอะไรละนี่"เขายังพูดต่อทุกคนที่นั่นเรียกเขาว่ารองธีรัตน์

อาวายิ้มแต่เธอไม่ได้พูดอะไรสายตาที่เขามองมาที่เธอเป็นสายตาที่คุ้นเคยและเอา
ใจใส่ ที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเคยเจอดวงตาเช่นนี้มาก่อนที่ไหน

เขายื่นของขวัญให้เธอ พร้อมสบตาเธอนิ่ง

"ช่วยเจ๊ะอุเซ็งหาเสียงเลือกตั้งคราวหน้า อุเซ็งเธอเลือกเมียดีมาก"

เขาพูดอย่างหน้าตาเฉย เป็นคำพูดที่อาวาฟังแล้วก็ดูหวั่นไหว เธอเคยรู้มาบ้าง
เหมือนกันว่าเขาเคยสร้างโครงการเข้าสู่ประชาชน มาพูดคุยกับคนในหมู่บ้านใน
มัสยิด บางทีก็นำวิทยากรพิเศษเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาพบปะพูดคุยปัญหา เป็น
คนที่มีหัวก้าวหน้า และทำงานเก่งคนในหมู่บ้านจะชื่นชมและศรัทธาเขา อาจจะเป็น
เพราะว่าเขาพูดภาษาถิ่นได้คล่อง ท่าทางเขาเอาการเอางาน และยังไม่ได้แต่งงาน
เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่รองธีรัตน์ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะท่าทางเขาดูดีไปหมด และ
เธอก็ยิ่งแปลกใจเรื่องของเจ๊ะอุเซ็ง เขามิได้เกรงกลัวบ้านเมืองจนหนีเข้าป่าเหมือน
ที่เธอคาดคิด เขามีรถเก๋งคนงามไว้ใช้มีลูกน้องที่มีปืนอาวุธสงครามครบมือ และมี
บ้านราคานับล้านบาทที่ยะหริ่ง ในขณะที่เมื่อเดือนก่อนนั้นต้องทนทุกข์ยากอยู่บน
เทือกเขาบูโด

เรือนหอของเธอทาสีขาว มีประตูโค้งเช่นบ้านของอิสลาม มีบันไดใหญ่ขึ้นหน้าบ้าน
ทั้งสองด้านเป็นบ้านที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีบ้านหลังงาม
เช่นนี้ อยู่ท่ามกลางบ้านเรือนของคนจน ๆ ทั่วไป ชั้นบนของบ้านประดับตกแต่ง
ด้วยเครื่องแก้วเจียระไนและลายครามของจีน

อาวาเคยผ่านตาบ้านเรือนที่ตกแต่งอย่างงดงามมาก่อน แต่พอมาเห็นเรือนพักของ
เจ๊ะอุเซ็ง ที่เธอคาดไม่ถึงในความเป็นอยู่คือพรมลายหรูหราสีแดงจัดปูลาดทุกห้อง

ค่ำนั้น รองธีรัตน์มาร่วมฉลองด้วยกันที่บ้าน เขานั่งกับเพื่อน ๆ ตำรวจ บางคนเป็น
ทนายความและอัยการ ทุกคนในที่นั้นคุยกันสนุกสนาน และจิบบรั่นดี

เจ๊ะอุเซ็งดูจะเป็นคนเด่นที่สุดในงาน หน้าตาเขาคมเข้ม เมื่อแต่งตัวดี อยู่ใน
บรรยากาศดี เขาดูจะเป็นคนแบบนักวิชาการ มีความรู้และอ่อนน้อมถ่อมตน อาวา
ไม่มีความสุขนักในสภาพที่ปรากฏ แต่เธอก็ทำได้เพียงยิ้ม…เท่านั้น

รองธีรัตน์คุยกับเธอเรื่องการเรียน เขาดื่มบรั่นดีในขณะที่ดวงตามีแววคมกริบ คำว่า
นิติศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมทำให้เขารู้ว่าเธอน่าสนใจมาทีเดียว

เธอเรียกเขาว่ารองธีรัตน์เมื่อสนิทสนม เมื่อเขาถามถึงสภาพเก่า ๆ อะไร ๆ สน
สถาบันที่เธอจบเป็นบัณฑิตหมาด ๆ เขารู้สึกสนุกที่จะคุยด้วย ยิ่งเมื่อถามถึง
อาจารย์เก่า ๆ ดูเขาก็ยิ่งจะมีความสุขเสียจริง ๆ

รองธีรัตน์ดูอาวายิ้มและเขาก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เขารู้สึกว่าเธอจะจุดประกายวูบ
วาบในตัวเขาทั้งที่เป็นวันแต่งงานของเธอกับเจ๊ะอุเซ็งวันนี้

บรรยากาศไม่เหมือนการแต่งงาน แต่เหมือนงานสังสรรค์เจ๊ะอุเซ็งคุยสนุก กว่าทุก
คนจะลากลับไปก็เกือบค่อนคืน

อาวาอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย วันแต่งงานเหมือนกับวันที่เธอยกภาระเก่าที่
หนักอึ้งพ้นออกไปจากตัว เพื่อหอบสัมภาระอย่างใหม่

เจ๊ะอุเซ็งเดินกลับมาจากข้างนอก"ไปสั่งให้คนมาเก็บของ"เขายิ้มเมื่อมองเห็นเธอ
จุดบุหรี่แล้วเดินออกไปยืนตรงระเบียงนอก

ลมยามดึกเริ่มพัดผ่านกิ่งมะขามแกว่งไกว อาวาเดินมาใกล้ ๆ

"ทำไม พวกนั้นถึงมางานของเรา" อาวาถามด้วยความสงสัย

"ก็ผมเชิญมา"อาวาหันกลับมามองหน้าเขา

"ผมเป็นคนมีอิทธิพลนะอาวา ผมกำหนดบางอย่างได้ นี่แหละเขาถึงเกรงใจ ถ้าเป็น
เขาพูด เขาก็ต้องพูดว่า เขาจำเป็นจะต้องเลี้ยงผมไว้ เพื่อความสงบสุขของ
บ้านเมือง"

"แล้วเขารู้หรือ"

"เขาไม่ใช่คนโง่นะอาวา…และผมก็คิดว่าเขาจำต้องเลี้ยงผมไว้จริง ๆ"

"เจ๊ะอุเซ็ง ในชีวิตของคุณจะต้องยุ่งยากลำบากมาก" เสียงเธอเครียด

"ถ้ามีคุณ…ก็ไม่หรอก" เขาหันหน้ามาเผชิญกับเธอ จับไหล่ทั้งสองข้างไว้ แล้วก้ม
จุมพิตเธอที่แก้ม…เป็นครั้งแรก

เธอเองก็ไม่ปฏิเสธเขา อากัปกิริยาเธอแสดงเช่นนั้น เพียงแต่ไม่มีคำพูดใดได้กล่าว
ออกมา นอกจากเสียงลมพัดใบมะขามต้นยักษ์ตรงหน้าบ้าน เสียงใบไม้พลิกพลิ้ว
กับสายลม

"อาวา…ผมเคยรักผู้หญิงมามาก แต่ก็ไม่มีใครเหมือนคุณ" เป็นเสียงกระซิบของ
เจ๊ะอุเซ็ง ลำตัวแบบบางของอาวาถูกกระชับแน่นในอ้อมแขนของเขา

"เหมือนพระผู้เป็นเจ้าส่งคุณมา ผมเกือบปฏิเสธชีวิตในสังคมเสียแล้ว"

"ผมเคยคิดจะใช้สงครามกองโจรแย่งประชาชนของผมคืนมา แต่เมื่อเจอคุณ คุณ
เรียนกฎหมาย… ผมเคารพกฎหมาย อาวา..มันแปลก ผมไม่น่าเลือกคุณเลย"

คำสุดท้ายยังก้องในหู"ผมไม่น่าเลือกคุณเลย…"อาจจะเป็นเพราะเธอที่เขา
เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้

Pattani4-cr

III.

ชีวิตของเธอน่าจะดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อแต่งงานแล้ว ทุกอย่างน่าจะปรับตัวได้ดี แต่มี
วิกฤติการณ์บางอย่างที่ทำให้ชีวิตของอาวาเปลี่ยนไปในขณะที่เธอย้ายมาอยู่บ้าน
ใหม่ได้ไม่ถึงเดือน
 
ช่วงนั้นเจ๊ะอุเซ็งเคร่งเครียดมาก มีคนมาหาเขาทุกวันเปลี่ยนหน้าไปทั้งไทยพุทธ
และไทยอิสลาม รองธีรัตน์เป็นแขกประจำของหมู่บ้านนั้นทีเดียว และวันหนึ่ง รอง
ธีรัตน์ในชุดปฏิบัติการก็มาแวะหาเจ๊ะอุเซ็งแต่เช้า มีรถหลายคัน เจ๊ะอุเซ็งออกไปกับ
เขา เวลากลับมาก็ค่ำมืด
 
"มีอะไรหรือเปล่า"อาวาถามเขาอย่างห่วงใย ในขณะเห็นเขาเหนื่อยอ่อน
 
"คนของเรา…จับคนเรียกค่าไถ่"
 
"คนของเรา"
 
"เปล่า…หมายถึงมุสลิม คุณก็รู้ ไม่ใช่มีแค่ฝ่ายของผม"
 
"แล้วเขาก็คิดว่าเป็นพวกของคุณ"อาวาขึ้นเสียง "คุณก็ต้องเป็นฝ่ายติดตาม"เธอ
ยังพูดต่อ "ก็แน่ละ เขาก็ต้องบังคับคุณแน่นอน เพราะคุณเป็นคนมีอำนาจ มี
อิทธิพลนี่"
 
ความโกรธที่รุมเร้าเธอประดังขึ้นมาอีก เพราะเธอยังจำความบอบซ้ำดังที่เคย
ปรากฏก่อนนั้นได้
 
"ฉันไม่คิดเลยว่าคุณยังปฏิบัติการชั่วช้าในการจี้ปล้นจับคนเรียกค่าไถ่เป็นอาชีพอีก"
เธอรู้ว่าเธอพูดด้วยความโกรธมาก
 
 "ไม่มีแล้วนะ…ไม่มีอีกแล้วนะ"
 
เจ๊ะอุเซ็งผลุนผลันเข้าห้องไปเธอเห็นเขาโกรธเป็นครั้งแรก เธอรู้ว่าเขาเหนื่อยมาก
กับการติดตามในเช้าวันนี้ แม้เขาจะไม่ได้เล่าว่าทางตำรวจกำลังติดตามล่าใครอยู่
แต่เธอก็สามารถสรุปได้ว่าวันนี้เขาทำงานไม่ได้ผล เธอยังไม่เชื่อว่าเขาจะเลิกทุก
อย่างได้ เมื่อเธอเข้ามาในชีวิต เพราะนั่นเป็นการแสวงประโยชน์และอุดมการณ์
 
บางอย่างบ้านที่เธออยู่หลังนี้ เครื่องประดับทุกชิ้น หรือเงินที่ใช้จ่ายอยู่ อาจเป็นเงิน
ที่ได้มาจากการเรียกค่าคุ้มครองหรือเรียกค่าไถ่ก็ได้ ใครจะรู้
 
เธอก้าวพรวดตามติดเข้าไปในห้อง เจ๊ะอุเซ็งนอนพังพาบอยู่บนผ้าปูเตียง ยื่นแขน
ทั้งสองข้างวางบนหมอน
 
อาวาทรุดนั่งลง
 
"ผมพยายามมาหลายครั้งแล้วนะอาวา บางทีผมรู้นะว่าบ้านเมืองนี้แหละบังคับให้
ผมต้องเป็นโจรเพราะอย่างน้อยผมก็มีเชื้อสายของคนที่รัฐบาลเรียกกบฏ และจับ
ถ่วงทะเลเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อนอิทธิพลของผมอยู่เหนือระดับชาวบ้านทั่วไป ผม
ทำอะไรจะต้องได้เสมอ คนจะเป็นอยู่ทุกอย่างจะต้องมีผมกำหนด อาวา บางทีผม
จะเป็นอย่างที่เขาพูดกันจริง ๆ"
 
เจ๊ะอุเซ็งพูดเหมือนคนที่เจ็บแสบและไม่มีทางออก
 
"พฤติกรรมของคุณมันบอก ถามเมียคุณซีว่าคุณทำอะไรมาบ้าง" เธอไม่รู้สึกสงสาร
เขาเลย
 
"มันจำเป็น…อาวา"
 
"จำเป็น"เธอเลิกคิ้ว ยิ้มเหยียด
 
"ใช่…ก่อนนั้นผมเคยคิดถึงประชาชนในด้านการช่วงชิง การเป็นอิสระ แต่ก็เป็นไป
ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินไป และผมก็ไม่ใช่พระเจ้า"
 
"ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณเจ๊ะอุเซ็ง ฉันเพียงแต่รู้ว่า บ้านเมืองต้องการให้คุณทำ
บางอย่างให้ ฉันรู้ว่าคุณทำได้"
 
ทุกอย่างดูตึงเครียดไปหมด อาวาเองก็ไม่ยอมลดละ และเขาก็เป็นฝ่ายที่เงียบงัน
ไร้คำอธิบาย
 
อาวานอนหลับด้วยความตึงเครียด หลาย ๆ ครั้งในความฝันจะมีอะไรวน ๆ เวียน ๆ
กลับไปกลับมา เคยฝันว่าเจ๊ะอุเซ็งเดินเข้าไปในป่าใหญ่เบื้องหน้านั้นเป็นภูเขาสูง
ชัน อาวาวิ่งตามเข้าไป และเธอก็ได้ยินเสียงปืนกลรัวหลายสิบนัด เธอวิ่งถลาเข้า
ไป ร่างของเจ๊ะอุเซ็งนอนคว่ำแหลกเหลวด้วยลูกกระสุน เลือดสาดไปทั่ว เธอกรีด
ร้อง ลั่นทั่วขุนเขาและผวาตื่นขึ้นมา
 
อาวาจะเล่าความห่วงใยให้เขาฟังได้อย่างไร ในขณะที่บ้านเมืองก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็น
ใคร และในภาวะเศรษฐกิจบีบคั้นหนักอย่างปัจจุบันต่อมาเธอก็ทราบว่าเขามีหุ้นใน
เหมืองแร่ที่บันนังสตาร์ และมีกิจการค้าเครื่องกีฬาในกรุงเทพฯ ญาติพี่น้องทุกคน
ฐานะดี ซึ่งขัดกับความรู้สึกที่เขาฉุดกระชากเธอขึ้นเขาบูโด หรือการปล้นครั้งนั้น ดู
ไม่คุ้นกันเลยหรือว่าเขาทำเพื่ออะไรกันแน่ นอกจากสร้างสถานการณ์ เธอจำได้ว่า
สมัยที่เธอเดินทางไปเรียนในกรุงเทพฯ พอปิดเทอมกลับมาบ้าน เธอพบโรงเรียน
เล็ก ๆ ในหมู่บ้านถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหลายต่อหลายแห่ง หลังจากนั้นก็มีข่าวบุก
โรงพัก ยิงโรงพัก จนพรุนไปหมด และที่ร้ายสุดสะเทือนใจไปทั่ว คือยิงครูหน้าเสา
ธงชาติ! เป็นสิ่งที่เธอให้อภัยไม่ได้เลย เมื่อเธอถามไถ่ใคร ๆ ว่าทำไมจึงเกิด
เหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทุกคนได้แต่ปิดปากเงียบ แววตาปราศจากความรู้สึกใด ๆ ไม่มี
การวิเคราะห์วิจารณ์และไม่มีเสียงหัวเราะซึ่งน่าจะมี เธอจึงแปลกใจว่าทำไมจึง
เป็นไปได้ถึงขนาดนี้
 
เจ๊ะอุเซ็งหายไป เขาหายไปจากบ้านเมื่อเดือนพฤศจิกายน ทุกอย่างเหมือนความ
เลวร้ายที่มาในรูปเมฆหมอก อาวาเริ่มท้อง เขาก็รู้แต่เขาหายไปไหน เธอเพียงแต่
ทราบว่าเขาขับรถออกไปจากบ้านยิ้มและโบกมือให้เธอ หน้าตาเขาเป็นปกติ เขา
แกล้งหรือเปล่านะ
 
อาวาคิดว่าเขาน่าจะบอกอะไรเธอมากกว่านี้ ที่เธอพบคือรถของเขาจอดทิ้งไว้อยู่ใน
ตัวเมือง ทิ้งกุญแจรถไว้
 
รองธีรัตน์ขับรถคันนั้นมาส่งเธอที่บ้าน"อุเซ็งทิ้งรถไว้"รองธีรัตน์มีหน้าตาวิตกกังวล
และแปลกใจ เมื่อบอกกล่าวกับเธอ อาวาเพียงแต่ยืนฟังด้วยความรู้สึกเฉยเมย
 
หลายวันต่อมา พอเธอคิดถึงสภาพที่ตั้งครรภ์ และไม่มีใครเหลียวแล ทำให้เธอพ่าย
แพ้ ทำนบน้ำตาพัง สุดจะกลั้นได้ เธอไม่ได้กลัวความลำบาก แต่คิดว่าไม่ยุติธรรม
ต่อชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มท้องโดยสามีไม่อยู่รับผิดชอบ เธอมีอาการอาเจียนมาก
และไม่สบายตลอดเวลาภาพของเจ๊ะอุเซ็งพร่าพรายในม่านน้ำตา เป็นภาพที่เขา
เดินขึ้นไปบนเขาบูโด และโดยยิงเสียจนร่างพรุนอันอาจเป็นจริงเช่นนั้นก็ได้
 
ไม่มีความรู้สึกสลดใจอันใดเทียบที่เธอได้รับ เหมือนกับว่าวันหนึ่งเขาก็ก้าวมาใน
ชีวิตของเธอและก้าวออกไปโดยมิได้สั่งเสียล่ำลา แสนจะสะใจเสียจริง ๆ ที่เธอ
ต้องแบกภาระหนักในการเป็นแม่โดยปราศจากการเรียกร้อง เธอมีร่างกายทรุด
โทรมมากจนต้องไปนอนในโรงพยาบาล เพราะอาการแพ้คุมคามหนัก
 
รองธีรัตน์รับเธอมาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และเธอก็เป็นแขกพิเศษของแพทย์
พยาบาลที่นั่น
 
เขาหอบดอกไม้ช่อใหญ่มาให้เธอทุกแทบทุกวัน คุยเรื่องไร้สาระกันได้ทุกวัน หลาย
ๆ อย่างไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว แต่เขาก็ช่างหาเวลามาคุยและสัญญาว่าจะค้นหา
เจ๊ะอุเซ็งให้เขาให้เหตุผลในการหายไปของเจ๊ะอุเซ็งว่ามีร่องรอยการต่อสู้ เพราะรถ
เปิดประตูอ้าทิ้งไว้ และมีรอยลากครูดไปกับพื้น อาวาก็มีความรู้สึกว่าเขาต้องโดน
ทำร้ายแน่ ๆ
 
"อุเซ็งอาจโดนหักหลังก็ได้"รองธีรัตน์บอก เขามองหน้าอาวาดวงหน้าซื่อ ๆ ของ
เธอเต็มไปด้วยทุกข์ยากในใจเกินกว่าวัยที่เธอเป็นอยู่เขารู้สึกคุ้นเคยและชอบนิสัย
ของเธอมาตลอด
 
"เขาจะตายหรือเปล่า"อาวาถามซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง
 
เป็นคำถามที่เธอไม่เคยอยากได้รับคำตอบเลย รองธีรัตน์เอื้อมมือไปปาดน้ำตาที่
ร่องแก้มของเธอ เขาไม่ได้ปลอบโยนให้หยุดร้องไห้และวันหนึ่งน้ำตาคงแห้งจาก
ดวงตาของเธอ
 
ไม่นานนักเธอคลอดลูกสาวเล็ก ๆ ที่มีรอยยิ้มคล้ายพ่อ และมักจะเผลอยิ้มยามนอน
หลับเสมอ ยิ้มที่ทำให้อาวาหวาดผวาอยู่ตลอดมา เธออึดอัดใจที่จะอยู่บ้านที่ยะหริ่ง
อีกต่อไป เธอหอบหิ้วลูกเข้ากรุงเทพฯ เข้ามาเป็นทนายให้กับหนังสือพิมพ์ใหญ่
ฉบับหนึ่ง และทำงานเกี่ยวกับเอกสารกฎหมาย โดยพยายามลืมเรื่องต่าง ๆ ที่
ปวดร้าวทางเบื้องหลังให้หมด เธอมอบเด็กหญิงน้อยให้ไปอยู่ท่ามกลางญาติพี่น้อง
ที่รักใคร่และพักอยุ่ในบ้านของญาติทางสามีเฝ้าคอยว่าเมื่อไหร่จะมีข่าวคราว
เจ๊ะอุเซ็ง ข่าวรองธีรัตน์กลับมาเป็นผู้กำกับ อยู่ในสายตาเธอตลอดและเขายังครอง
ความโสดอยู่เช่นเดิม
 
อาวายังจำความเอื้ออารีของเขาได้ จำวันที่เขาโอบเธอไว้ในโรงพยาบาลเมื่อเธอ
เจ็บป่วยคราวที่เจ๊ะอุเซ็งหายไป
 
"ผู้กำกับถูกยิงบนหุบเขาบูโดท้องทะลุ"เธอถึงกับเข่าทรุด รองธีรัตน์นั่นเอง เขา
กลายเป็นผู้กำกับใน 4 ปีต่อมา และตอนนี้เขาถูกกระสุนปืนจากฝ่ายตรงข้ามขณะ
ลาดตระเวนบนหุบเขา
 
เธอหอบกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลและพบกับป้าย"ห้าม
เยี่ยม" เธอผิดหวังและเสียใจมาก เธอเลยนำกุหลาบแดงไปปักที่เคาน์เตอร์
พยาบาล กลับมาคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เธอพยายามเข้าเยี่ยมอีกครั้ง
 
หน้าตาของอาวาเปลี่ยนไปมาก เธอดูทันสมัยและปราดเปรียว ตำแหน่งม่ายของเธอ
มันเหมือนกับพรมด้วยเสน่ห์ เดินไปทางไหนคนจะต้องปรายตาติดตาม ธีรัตน์พบ
เธอและมีความรู้สึกนี้ขึ้นมาในใจแน่นอน ก่อนนี้เขาเคยชอบเธอเป็นพิเศษ แต่เวลา
นี้เธอเพิ่งแต่งงานกับคนที่เขาคิดในใจว่า "โจรใหญ่"
 
และหลังจากนั้น เธอมาเยี่ยมเขาหลายครั้ง ผู้กำกับธีรัตน์ อยู่โรงพยาบาลเดือนเศษ
เมื่อออกจากโรงพยาบาลเขาก็ขอแต่งงานกับอาวาทันทีโดยไม่ยอมฟังคำทัดทาน
ของใครๆ
 
อาวายืนฟังคำขอแต่งงานกับเธอเหมือนเขาพูดว่า"อุเซ็ง…เธอเลือกเมียดีมาก"
 
คำพูดที่ย้ำความทรงจำครั้งก่อนนั้น อาวาปฏิเสธ เธอรู้ว่าเขาโกรธแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ
ใด ๆ ที่จะหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ เขาคาดผิดที่เธอปฏิเสธเพราะความสนิทสนมแต่ก่อน
มา ทำให้เธอปฏิเสธ น่าแปลกใจตอนนี้เขาก็มีตำแหน่งเป็นผู้กำกับแล้ว เป็น
ตำแหน่งที่ต้องช่วงชิงกันด้วยซ้ำ
 
"ดิฉันเป็นคนเคร่งศาสนามาก"เธอตอบหน้าตาเฉย
 
"เราจะทำพิธีในศาสนาคุณบ้านของผมอยู่นราธิวาสนะ อาวาผมเคยอยู่ในวัฒนธรรม
ของอิสลามมาตลอด ไม่มีปัญหาเลย"
 
"เราไม่เคยรักกันนะคะ"
 
"เจ๊ะอุเซ็งล่ะ อาวา คุณก็ไม่เคยรักเขามิใช่หรือ" เป็นคำถามที่อาวาทราบดีว่าเขารู้
ว่าเธอถูกเจ๊ะอุเซ็งฉุดขึ้นเขา
 
อาวาเงียบเฉย
 
"ผมต้องแต่งงานกับคุณให้ได้นะอาวา"ธีรัตน์พูด ดูเขาร้อนรนผิดเมื่อก่อน "เมื่อผม
ออกจากโรงพยาบาล ผมก็บอกตัวเองว่าผมจะมีเมีย"
 
อาวาตกตะลึงกับคำพูดนี้ ความพยายามทั้งด้วยเล่ห์ด้วยกลของผู้กำกับธีรัตน์อยู่ใน
ความคิดคำนึงของอาวามาโดยตลอด และบางทีเธอก็หัวเราะเยาะเขา
 
"ดิฉันเป็นม่ายนะคะ ราคาแพง" เธอยิ้มหวานให้กับเขา หรือคำพูดอีกคำที่ธีรัตน์ไม่
อยากได้ยิน "ดิฉันต้องแต่งงานกับผู้ชายมุสลิมค่ะ…แน่นอน"
 
อาวารู้ตัวเองดี เธอมิใช่หญิงประเภทที่ทำให้ผู้ชายหลงใหลคลั่งไคล้ สิ่งสำคัญเธอ
มิใช่คนหลงตัวเอง การอยู่ใกล้ชิดกับคนบางคนพอใจกับคนบางคน ก็ไม่ใช่ความรัก
ระหว่างเจ๊ะอุเซ็งกับผู้กำกับธีรัตน์ เธอตอบไม่ได้ว่าใครให้ความรู้สึกว่าเธอน่าจะ
ชอบมากเป็นพิเศษ ถ้าจะใช้สัญชาตญาณทางเพศตอบ…. ผู้กำกับธีรัตน์อาจจะมี
มากกว่า และสามารถจะปูทางให้เธอเดินอย่างสบาย ๆ ได้ เจ๊ะอุเซ็งดูจะไม่มี
อนาคตให้เธอด้วยซ้ำไป
 
มีอะไรบางอย่างที่เธอสะกิดใจในการหายตัวไปของเจ๊ะอุเซ็ง กับการเป็นผู้กำกับ
ของธีรัตน์ ดูเขาไม่ยอมทิ้งถิ่นเลย และการที่เขาเลือกเธอแต่งงานด้วย ย่อมได้
รับคำปรามาสจากทุกคนที่รู้จักเจ๊ะอุเซ็ง
 
เธอไม่แน่ใจ ทำไม เขากล้าเสี่ยง…เป็นการเสี่ยงอย่างเหลือเกิน
 
ทุกอย่างเข้ามาเหมือนสายรุ้งซึ่งจับต้องไม่ได้ คำตอบปฏิเสธนั้นอยู่ในใจมานาน ถ้า
เขาถาม เธอก็จะบอกว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเช่นนั้นไม่ได้
 
เธอเกือบลืมเรื่องผู้กำกับธีรัตน์เสียสนิทในเวลาเกือบปีที่ผ่านมาเพราะมัวแต่ก้ม
หน้าก้มตาทำงานมีงานใหญ่อยู่ชิ้นหนึ่ง ต้องเร่งมือแปลหนังสือ หนังสือชื่อ
กฎหมายอิสลามในลิเบีย เธอรีบทำงานนี้เพราะจะมีคนไทยไปทำงานต่างประเทศ
ช่วงขุดทองอาหรับกันมาก จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้จัดการของสำนักพิมพ์แนะนำให้แปล
เมื่อหนังสือจำหน่าย เธอได้ค่าแปลหนังสือเป็นเงินจำนวนหนึ่ง
 
และเธอก็โดนจับค่ำวันนั้น
 
หนังสือวางขายไปไม่เท่าไหร่ อาวาโดนรวบตัว และยัดเยียดข้อหาเป็นภัยต่อ
ประเทศชาติ เธอถูกตั้งข้อหาว่ามีพฤติการณ์ส่อไปในทางทำลายชาติ เคยมีสามี
เป็นโจรคนสำคัญ เจ๊ะอุเซ็ง ผู้ซึ่งเข้าใจกันว่าหลบหนีไปต่างประเทศ เขาถูกระบุว่า
มีกิจการค้าแร่เถื่อน ค้าอาวุธและส้องสุมผู้คนบนขุนเขาบูโด กินเขตพาดผ่านหลาย
จังหวัด
 
เธอพลาดไปนิดหนึ่ง เธอไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาแอบแฝงเลยในการแปลหนังสือ
กฎหมายฉบับนี้เธอลืมดูความเป็นมาของตัวเธอเอง เพียงแต่รู้ว่าตัวเองมีอาชีพเป็น
ทนายความ และลืมเสียสนิทว่ามุสลิมอย่างเธอไม่ควรมีปากมีเสียงทำอะไรเลยใน
สังคมปัจจุบันนี้
 
เรื่องของเธอผ่านชั้นศาลมาโดยปลอดภัย และเธอก็ทราบดีว่าผู้อยู่เบื้องหน้า
เบื้องหลังทุกอย่างคือผู้กำกับธีรัตน์
 
"เก่งมากอาวา"เขาชมในขณะที่เลื่อนตัวมาประจันหน้ากับเธอ เมื่อกลับลงมาจาก
ศาล
 
"คุณไม่มีอะไรให้แคลงใจอีกแล้ว"เขาเงียบไปพักใหญ่ "แล้วคุณจะแต่งงานกับผม
ได้หรือยัง"
 
ผู้กำกับธีรัตน์พูดหน้าตาเฉย อาวาเจ็บแค้นมากถึงกับสบถออกมาเป็นภาษาถิ่น
แสนเจ็บช้ำจริง ๆในการในการมีชีวิตอยู่
 
อาวาต้องยอมรับกับตัวเองว่าเธอเจ็บซ้ำมาก จนไม่สามารถทนอะไรได้ต่อไป เธอ
หนีกลับบ้านที่ปานาเระ ยืนดูเกลียวคลื่นกระทบฝั่ง และยืนอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านที่
ยากจน เป็นสิ่งดีกว่าจะมีหน้ากากปกปิดใบหน้า เธอรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงทิ้งคล้าย
หนังสือที่ไม่มีค่าอะไร
 
เฒ่ามะ สะนิง ยังต่อเรืออยู่และบางวันเธอก็ช่วยวาดลวดลายด้วยสีน้ำเป็นลวดลาย
สิงห์ และลวดลายนกบุหรงซีงอ อันเป็นชื่อนกในวรรคดีของท้องถิ่น
 
ถ้าไม่มีใครมาจ้างต่อเรือลำใหญ่ เฒ่ามะ สะนิง ก็จะเลี้ยงชีพด้วยการประดิษฐ์เรือ
กอและลำเล็ก ๆ เพื่อให้ผู้มีอันจะกินนำไปตั้งโชว์ตามบ้าน
 
เธอกลับบ้านได้เดือนเศษ เฒ่ามะ สะนิง ตัดสินใจยกเธอให้แวอาแซ ผู้ชายซึ่งขาย
ยาลีมอเพื่อแลกกับเรือ
 
อาวามองไหล่กว้างและท่าทางเอาการเอางานของเขาที่เฒ่ามะ สะนิง คิดจะยกเธอ
ให้เพื่อฝากผีไข้ เขาเป็นคนจน เธอก็ทราบดี แต่เมื่อเห็นลักษณะของเขาเธอ
ตัดสินใจยอมแต่งงานด้วยทันที
 
ถ้าเขารู้ว่าเธอเคยเป็นเมียของเจ๊ะอุเซ็ง เขาคงแทบโยนเธอลงทะเลไปเลย เพราะ
ชื่อของเจ๊ะอุเซ็ง ยังขลังเสมอในท้องถิ่นนี้ และมีคนพูดว่าเขายังอยู่ที่รอยต่อ
ระหว่างเขาด้านหน้าโน้น
 
เรือลำที่เฒ่ามะต่อให้ งดงามและมีความหมายต่อชีวิตคู่ยิ่งนัก ถ้ามีเรือก็ไม่อดตาย
เฒ่ามะ สะนิงเคยบอกเช่นนั้น
 
เมื่ออาวามาถึงสายบุรีค่ำนั้น เธอยื่นกล่องใส่เงินให้แวอาแซ ในนั้นมีเงินห้าหมื่น
บาทครบถ้วน
 
สายบุรีเป็นเมืองเก่าแก่ของปัตตานี เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ เดิมมีเจ้าเมือง
ปกครอง มีวัฒนธรรมถิ่นของอิสลาม ล้อมด้วยฝั่งทะเลด้านตะวันออก มีท่าเรือ
ขนาดไม่ใหญ่โตนัก มีเรือกอและที่สวยงามหลายพันลำที่แล่นโฉบทะเลเหมือน
ปลาสีสวย ชายฝั่งมีต้นมะพร้าวที่เอนลู่หลายหมื่นต้น บ้านคนอิสลามก็อยู่ในละแวก
หย่อมไม้นั้น
 
เวลาเช้า อาวาเป็นตะวันขึ้นทางขอบฟ้าด้านตะวันออก บ้านของแวอาแซหันหน้ารับ
ลมทะเลเป็นบ้านไม้แบบโบราณ ข้างในบ้านตกแต่งแบบชนชั้นกลาง คือมีของใช้
เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
 
แม่ของเขาอายุมากแล้ว ท่าทางใจดี แต่งกายสะอาด ทักทายเธอ ตอนเช้าว่า "ชื่อ
อะไรจ๊ะ" และยิ้มให้เธอ แม่ของเขารู้เรื่องเธอจากแวอาแซว่าจะมีงานแต่งงานใน
สัปดาห์หน้า
 
แวอาแซนุ่งโสร่งสวมเสื้อขาวสะอาด และสวมหมวก เดินเข้ามาหา
 
"วันนี้ผมจะไปหาดะโต๊ะยุติธรรม"เขาบอก
 
"ไปทำไมคะ"เธอถามเสียงอ่อนหวาน
 
"ไปเอาเงินคืน ผมจะซื้อทับทิมกลับคืนมาให้คุณ เอ้อ มันควรจะเป็นของหมั้นวัน
แต่งงาน
 
"มันอาจจะถูกขายไปแล้วก็ได้แวอาแซ คุณอย่าเอามาเลย ไม่ได้สำคัญอะไร"
 
"แต่มันควรจะเป็นของหมั้นของคุณนะ อาวา"
 
"อาแซ…ฉันมีมากแล้วนะ ฉันมีมรกตเป็นชุดจากการแต่งงานครั้งก่อน นับว่าฉันมี
มากแล้วนะ ราคามันแพงมาก ขนาดขายเลี้ยงคนจน ๆ ได้เป็นเดือน ๆ เชียวนะ"
เธอเว้าวอนขอร้อง
 
"ผมจะลองดูก่อน เมื่อคืนผมก็นอนคิดทั้งคืน" เขามองหน้าอาวานิ่ง ดวงตามีแวว
อ่อนโยน
 
"ทับทิมนั้นขนาดใหญ่และมีค่ามากหรือคะ"
 
"ไม่หรอก ขนาดเท่าปลายก้อยคุณนั่นแหละ แต่ผมอยากเอามาให้คุณ"
 
แวอาแซเดินจากไปในหมู่บ้านลัดเลาะไปยังบ้านของดะโต๊ะ เป็นเช้าวันอาทิตย์ เขา
พบดะโต๊ะพอดีที่ท่านกำลังเดินออกจากบ้าน
 
"ท่านขายยาลีมอให้ใครไปหรือยัง"แวอาแซทำความเคารพ
 
"ยัง…แต่มีคนขอไปดู"
 
"ใครครับ"
 
"เป็นผู้กำกับ ท่านบอกว่าจะขอไปพิสูจน์ที่กรุงเทพฯก่อน"
 
"ผมอยากจะได้คืน ท่านตั้งราคาไว้เท่าไร"
 
"หกหมื่นบาท"
 
"ผมมีเงินอยู่ห้าหมื่นบาท"
 
เขาดึงห่อเงินออกมา"ได้โปรดเถอะครับ ผมอยากได้คืนจริง ๆ ผมกำลังจะ
แต่งงาน" เสียงสุดท้ายเขาเบาลง และแวอาแซก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มของความหวังและ
อิ่มเอมในหัวใจ
 
ดะโต๊ะพยักหน้า
 
"เราต้องไปตานีกัน (หมายถึง ปัตตานี) ความจริงท่านก็พูดว่าราคาค่อนข้างสูงไป
และจะเอาไปเช็คที่กรุงเทพฯ ท่านจะซื้อหรือไม่ก็ไม่แน่"
 
"ท่านดะโต๊ะไปเรือผมได้ครับผมมีเรือกอและที่เพิ่งทำเสร็จ วิ่งเข้าอ่าวปัตตานีแล้ว
จอดหน้ากองกำกับเลย"
 
แวอาแซเชื้อเชิญดะโต๊ะที่ยังลังเล แต่เมื่อมาเห็นเรือกอและของแวอาแซที่ท่าน้ำ
ท่านก็ไม่ปฏิเสธที่จะลงในเรือ
 
เรือกอและของแวอาแซวิ่งโฉบแล่นเหนือเรือใหญ่ที่จอดนิ่งสงบทะเลที่อ่าวตานีสี
ขุ่น ไม่สวยงามเหมือนสายบุรี มีเรือหาปลาจอดเรียงเป็นตับตรงราวสะพาน
 
เขาพบผู้กำกับธีรัตน์และพบว่าท่านเป็นคนพูดจาดี และมีมาดที่สง่างาม พูดภาษา
ยาวีได้คล่องแคล่ว
 
"ผมเป็นคนนราธิวาส"
 
ดะโต๊ะพูดถึงทับทิมที่ฝากมา ผู้กำกับมิได้ลังเล หยิบทับทิมออกมาจากกล่องส่งคืน
ให้ แวอาแซ ยกมือไหว้
 
"เจ้าสาวคนที่ไหนล่ะ"ผู้กำกับถามเมื่อรู้ว่าแวอาแซจะแต่งงาน
 
"ปานาเระครับท่าน"
 
"ชื่ออะไรล่ะ"
 
"อาวา สะนิงครับท่าน"
 
ผู้กำกับธีรัตน์ตกตะลึง ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคือ แวอาแซ ชาวประมงธรรมดา ๆ คน
หนึ่ง ที่ไม่มีลักษณะเด่นอะไร นี่หรือคือคนที่อาวาเลือกแต่งงาน ไม่น่าเชื่อเลยเพื่อ
อะไรกันนะ
 
บางทีเขาอาจต้องล่าเสือออกจากถ้ำ คราวก่อนนั้นเรื่องของ อาวา สะนิง บางที
คราวนี้เขาต้องลองทำอะไรอีกสักครั้ง ประวัติเดิมของเธอทำงานในองค์การ
นักศึกษา หารายได้พิเศษด้วยการเดินหนังสือตามตึกต่าง ๆ เป็นที่รักใคร่ของคน
ทั่วไปแล้วเธอก็กลับมาแต่งงานใหญ่โตกับผู้ชายมุสลิมที่มีประวัติไม่ค่อยจะน่า
พอใจนักสำหรับบ้านเมือง และอีกอย่างหนึ่งเธอเคยเรียนเก่งขนาดเคยสอบเข้า
โครงการแพทย์ชนบทได้ ไฉนเล่าเธอจึงมุ่งแต่เรียนกฎหมายจนกระทั่งได้เกียรติ
นิยม แต่เธอก็มิได้ทำอะไรให้เห็นว่าเป็นแกนในขบวนการแบ่งแยกดินแดน และที่
สำคัญที่สุด ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าเจ๊ะอุเซ็งนั้นไปอยู่ที่ไหน
 
"เดี๋ยวท่านดะโต๊ะอยู่คุยบางอย่างกับผมก่อน มากันยังไงล่ะ"
 
"มาเรือครับท่าน"แวอาแซ ตอบ
 
"เรากลับไปบ้านก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวจะให้ตำรวจไปส่งท่านดะโต๊ะที่สายบุรี"
 
แวอาแซมอบเงินในห่อผ้าให้ท่านดะโต๊ะ แล้วเขาก็เดินมาที่เรือตอนนั้นตะวันบ่าย
คล้อยแล้ว ไอแดดยังคงระยิบระยับ เสียงเครื่องเรือของเขาแผนลั่นฝ่าท้องน้ำไป
ทับทิมยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อ เขาคิดถึงบทกวีพื้นบ้านบาทบท และคิดถึงการแต่งงาน
ที่สายบุรี เป็นการแต่งงานครั้งแรกของเขา ช่างเหมือนความฝันจริง ๆ เขาฮัมเพลง
เบา ๆ
 
เรือวิ่งเป็นจังหวะ เขาเห็นปลาบางตัวกระโดดแข่งกับปลายคลื่น
 
แวอาแซยิ้มกับตัวเอง เขาคงเป็นชาวประมงที่ขยันมากในการสร้างครอบครัวใหม่
คงจะเป็นเวลาเริ่มต้นชีวิต เขาเอามือคลำที่อกเสื้อทับทิมเม็ดงามก็ยังคงอยู่ เขามี
ความรู้สึกว่ากายอุ่นขึ้น ยาลีมอนี้เขาจะนำไปมอบให้หญิงคนรัก ซึ่งตัวเขาเองยังไม่
รู้ว่าเขารักเธอที่ตรงไหน เขาไม่เคยแม้จะถามไถ่ว่าสามีของเธอคนที่แล้วมาคือใคร
เพราะทุกอย่างไม่จำเป็นจะต้องรู้เลย
 
มารู้ตัวอีกทีเรือของเขาถูกกระหนาบ มีเรือเหมือนเรือตำรวจสีเทาแล่นประชิด มีการ
ส่งสัญญาณให้เรือหยุด เขามองรอบด้าน เข้าเขตสายบุรีแล้ว เมื่อระยะเรือใกล้เข้า
 เรือนั้นกลับไม่ใช่เรือของตำรวจ
 
เรือของแวอาแซลอยคว้างอยู่นาน นานจนมีเพื่อนชาวประมงไปพบและลากเข้าฝั่ง
และมาบอกข่าวอาวาเย็นเยียบไปทั้งตัว แล้วเธอก็เป็นลมล้มพับไป พอตื่นขึ้นมา
เธอก็ร่ำไห้ไม่หยุด เป็นสภาพเก่า ๆ เหมือนเจ๊ะอุเซ็งเคยหายไป ทุกอย่างดูเวียนวน
และมืดมน
 
ภาพใบหน้าของผู้กำกับธีรัตน์แทรกเข้ามาในความรู้สึก เขานี่เอง เขาที่สร้างความ
เลวร้ายมาให้ชีวิตครอบครัวเธอทุกระยะ ฉับพลันเธอคิดถึงภาพที่เธอประจันหน้ากับ
เขาพร้อม ๆ ที่เธอเหนี่ยวไกปืน
 
นี่กระมังที่เรียกว่าการรังแกประชาชน จะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอนที่กำหนดทุก
อย่างขึ้นมา เธอนึกถึงสภาพที่ตัวเองเจ็บปวดรวดร้าวเป็นปี ๆ และทุกข์ตรมต่อการ
รับเคราะห์กรรม เธอต้องการสันติสุขแต่สังคมกลับบีบให้คนต้องทำในสิ่งที่ทุกคน
ไม่อยากกระทำ และในมโนภาพนั้นเธอฆ่าเขาเสียแล้ว
 
เรื่องแวอาแซหายไปนั้น ผู้กำกับธีรัตน์มาด้วยตนเองทั้งที่เขาไม่น่าจะมา ดูเขางุนงง
และประหลาดใจ เขาสำรวจร่องรอยต่อสู้บนเรือ แต่ก็ไม่มี ไม่มีหลักฐานอะไรเลย
 
เขากลับมาพูดกับอาวา อย่างเป็นทางการ ว่าเขาเสียใจมากที่มีเหตุการณ์เช่นนี้
เกิดขึ้น
 
อาวานั่งฟังอย่างเฉยชา มีทฤษฎีอยู่ทฤษฎีหนึ่งที่ผู้ปกครองประชาชนกลัวกันนักกัน
หนา คือ ตายหนึ่งเกิดแสน เป็นเรื่องง่าย ๆ ถ้าคนดีถูกฆ่าเขาก็จะได้รับความเห็นใจ
มาก ประวัติศาสตร์ก็จะจารึกความดีงามนั้นไว้
 
"อาวา เรื่องที่เกิดขึ้นบ้านเมืองไม่ใช่เป็นฝ่ายกระทำ" เขาเริ่มต้นพูด
 
"ใครล่ะจะกล้าฆ่าผู้นำของประชาชน คุณก็คงเข้าใจมาตลอดว่าเจ๊ะอุเซ็งถูกรังแก
เพราะทุกอย่างทำให้น่าเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น คุณลืมไปแล้วหรือว่าคุณได้รับการ
กระทำอย่างในในการฉุดขึ้นเขาบูโด เราติดตามคุณมาตลอด แล้วคุณก็กลับมา
แต่งงานกับผู้ชายที่ทางการไม่แน่ใจในพฤติการณ์ แล้วเขาก็หายไปและไม่กลับมา
เลย ผมเคยคิดว่าเขาไปต่างประเทศ แต่ก็เปล่า คุณอาจจะคิดว่าเราบีบคั้นเขาให้ไป
จัดการจับโจรก๊กอื่น ๆ ตัวคุณเองก็เคยถูกระบายสีแดงมาโดยตลอด หลายคน
สงสัยในตัวคุณว่าคุณทำงานอะไร มีต่างประเทศคอยหนุนหลังหรือไม่ ที่ขึ้นศาลวัน
นั้นก็เพราะผมพยายามจะให้คุณพิสูจน์ต่อหน้าประชาชนว่าคุณบริสุทธิ์"
 
ผู้กำกับธีรัตน์เงียบไปชั่วขณะ ทุกอย่างช่างสะใจเสียจริง ๆ เธอมองหน้าผู้กำกับ
ธีรัตน์ และเธอก็บอกตัวเองว่าจะไม่มีใครเล่นละครกับเธอได้อีกต่อไป
 
ที่สายบุรีนั้น
 
คลื่นทะเลยังซัดหาดวันแล้ววันเล่า
 
แต่ที่นั่นยังคงไม่มีคำตอบให้แก่อาวา ผู้จะเป็นเจ้าสาวแห่งท้องทะเลวันรุ่งขึ้น.. ว่า
โลกให้ความยุติธรรมกับคนอย่างเธอที่ปรารถนาพึ่งกฎหมายบ้างไหม…
 
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการคัดเลือกจากสมาคมภาษาและหนังสือ แห่งประเทศไทย เป็น1 ใน15 เรื่อง ที่

Pattani6cr

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการคัดเลือกจากสมาคมภาษาและหนังสือ แห่งประเทศไทย
เป็น1 ใน15 เรื่อง ที่
ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้าย SOUTH EAST ASIAN WRITERS AWARD S.E.A WRITE 2525 (1982)

 

กรุณาลงความเห็น เกี่ยวกับบทความนี้

ส่ง
อีเมล์
หน้านี้

©2013 Janine Yasovant
©2013 Publication Scene4 Magazine

Scene4 Magazine: Janine Yasovant
จานีน ยโสวันต์ เป็นนักเขียน
เธออาศัยอยู่ในเชียงใหม่ประเทศไทย

สำหรับบทความและบทวิจารณ์อื่นๆ ของ จานีน ยโสวันต์
กรุณาตรวจดู แฟ้มเก็บข้อมูล

 

Scene4 Magazine - Arts and Media

®

July 2013

Cover | This Issue | inFocus | inView | reView | inSight | inPrint | Perspectives | Books | Blogs | Comments | Contact Us Masthead | Contacts&Links | Submissions | Advertising | Special Issues | Payments | Subscribe | Privacy | Terms | Archives

Search This Issue

 Share This Page

feed-icon16x16-o RSS Feed

Scene4 (ISSN 1932-3603), published monthly by Scene4 Magazine - International Magazine of Arts and Media. Copyright © 2000-2013 AVIAR-DKA LTD - AVIAR MEDIA LLC. All rights reserved.

Now in our 14th year of publication with
comprehensive archives of over 7500 pages 

HollywoodRed-1
sciam-subs-221tf71
Character Flaws by Les Marcott at www.aviarpress.com
SteinytoOperadom-728
Gertrude Stein-In Words and Pictures - Renate Stendhal
Scene4 Magazine - Thai Airways | www.scene4.com
banner2_728x90_frog